.

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ สามารถบรรลุข้อตกลงการปรับเพิ่มเพดานหนี้เป็นผลสำเร็จในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่กว่าที่ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ก็ต้องผ่านการเจรจาหลายครั้ง และต้องแลกมาด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายอาจจะไม่เต็มใจนัก แต่ก็ต้องจำใจถอยคนละก้าวเพื่อผลักดันให้ข้อตกลงฉบับนี้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาในสภาคองเกรส โดยสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐจะทำการโหวตในวันพุธนี้ (31 พ.ค.)

 

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ปธน.ไบเดนและนายแมคคาร์ธีได้เจรจาร่วมกันก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (29 พ.ค.) ซึ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายในการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ หรือ X-date ในวันที่ 5 มิ.ย.

 

ทั้งนี้ เพดานหนี้คือจำนวนเงินทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐได้รับอนุญาตให้ทำการกู้ยืมเพื่อให้รัฐบาลสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการด้านประกันสังคมและด้านสุขภาพ, ดอกเบี้ยตราสารหนี้ของรัฐบาล และการใช้จ่ายอื่น ๆ

 

– การระงับเพดานหนี้ชั่วคราว

 

ข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้มีการระงับเพดานหนี้ชั่วคราว ซึ่งจะมีผลให้กระทรวงการคลังสหรัฐมีสิทธิ์ในการกู้ยืมเงินอย่างเป็นอิสระไปจนถึงเดือนม.ค. 2568 ก่อนที่จะมีการปรับเพิ่มเพดานหนี้ครั้งต่อไปซึ่งในขั้นตอนนี้จะต้องได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นชัยชนะของพรรคเดโมแครต โดยเฉพาะอย่างยิ่งปธน.ไบเดนที่จะไม่ต้องเผชิญกับการต่อสู้เรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ก่อนที่การเลือกตั้งปธน.สมัยที่สองจะมีขึ้นในปีหน้า

 

– การใช้จ่ายในโครงการที่สภาคองเกรสต้องอนุมัติเป็นรายปี

 

ข้อตกลงฉบับนี้จะจำกัดเพดานการใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ที่สภาคองเกรสจะต้องทำการอนุมัติเป็นรายปี (Discretionary Spending) เช่น การใช้จ่ายด้านกลาโหม และการจัดหาที่อยู่อาศัย แต่ข้อตกลงการจำกัดเพดานการใช้จ่ายนี้จะไม่บังคับใช้กับโครงการเมดิแคร์ (Medicae) และโครงการประกันสังคม

 

ทั้งนี้ ข้อตกลงระบุว่าจะจำกัดเพดานการใช้จ่ายด้านความมั่นคงซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายด้านกลาโหมเอาไว้ที่ 8.86 แสนล้านดอลลาร์ และจำกัดเพดานการใช้จ่ายภายในประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเอาไว้ที่ 7.04 แสนล้านดอลลาร์ ในระหว่างปีงบประมาณ 2567 และจากนั้นจะมีการปรับเพิ่มการใช้จ่ายเหล่านี้ขึ้นสู่ระดับ 8.95 แสนล้านดอลลาร์ และ 7.11 แสนล้านดอลลาร์ตามลำดับ ในปีงบประมาณ 2568

 

– ข้อกำหนดการรับคูปองอาหารสำหรับประชาชน

 

ข้อตกลงฉบับนี้ได้ปรับเพิ่มอายุของประชาชนที่มีสิทธิ์จะได้รับคูปองอาหารในโครงการ Supplemental Nutrition Assistance Program หรือ SNAP จากเดิมที่กำหนดอายุไว้ที่ 49 ปี เพิ่มเป็น 54 ปี

 

อย่างไรก็ดี ประชาชนกลุ่มเปราะบางเช่นคนไร้บ้าน และบรรดาทหารผ่านศึก มีสิทธิ์ที่จะได้รับคูปองอาหารในโครงการ SNAP โดยไม่ติดเงื่อนไขเรื่องอายุ

 

 

— การอนุมัติด้านพลังงาน

 

ข้อตกลงด้านพลังงานที่ทำเนียบขาวและตัวแทนเจรจาจากพรรครีพับลิกันได้ทำร่วมกันนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเล็กน้อยในกฎหมาย National Environmental Policy Act ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดให้มีการทบทวนโครงการด้านพลังงานของรัฐบาลกลาง

 

ข้อตกลงดังกล่าวระบุว่าจะกำหนดกรอบระยะเวลาการประเมินสิ่งแวดล้อมเอาไว้ที่ 1 ปี และกำหนดกรอบระยะเวลาการออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเอาไว้ที่ 2 ปี

 

นอกจากนี้ ข้อตกลงยังระบุถึงการเร่งสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติ “Mountain Valley Pipeline” มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ผ่านทางรัฐเวอร์จิเนียตะวันออกให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หลังจากที่โครงการสร้างท่อส่งก๊าซดังกล่าวเผชิญภาวะชะงักงันหลายครั้งอันเนื่องมาจากความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม

 

 

— โยกงบประมาณบางส่วนจากกรมสรรพากรสหรัฐ (IRS)

 

ข้อตกลงที่ทำเนียบขาวและตัวแทนจากพรรครีพับลิกันทำร่วมกันระบุว่า เนื้อหาในกฎหมายปรับลดอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ซึ่งริเริ่มโดยปธน.ไบเดนนั้น จะเพิ่มข้อกำหนดการโยกงบประมาณจำนวน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ จากงบประมาณรวม 8 หมื่นล้านดอลลาร์ใน IRS ไปเป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับด้านกลาโหมในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 และค่าใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ว่าเงินจำนวน 2 หมื่นล้านดอลลาร์นี้จะถูกใช้ในการปรับปรุงคุณภาพด้านการให้บริการแก่ผู้บริโภคและต่อสู้กับการหลีกเลี่ยงภาษี

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์